มานพเป็นชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตนเองน่าจะเป็นคนที่ไร้ความสุขที่สุดในโลก เพราะเขาไม่ใช่คนร่ำรวย ไม่มีเงินทองมากมาย ไม่มีบ้านที่ใหญ่โตหรูหรา มานพคิดว่าทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่เคยรู้จักกับความสุขเลย
วันหนึ่งมีนักบุญท่านหนึ่งเดินทางผ่านมายังหมู่บ้านที่มานพอาศัยอยู่ ชาวบ้านจึงพากันเชื้อเชิญให้นักบุญพักอยู่ในหมู่บ้านก่อนสักระยะ เพื่อสั่งสอนธรรมะให้แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งนักบุญก็ตอบรับคำเชิญนั้น ด้วยความยินดี โดยปฏิเสธที่พักอันใหญ่โตและสะดวกสบายที่ชาวบ้านจัดให้ แต่ขอพำนักอยู่ในศาลาวัดประจำหมู่บ้านแทน
ฝ่ายมานพนั้นเมื่อทราบข่าวว่ามีนักบุญมาพำนักอยู่ในศาลาวัดก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก เพราะคิดว่านักบุญต้องช่วยให้เขารู้จักกับความสุขได้เป็นแน่ จึงรีบออกจากบ้านไปหานักบุญที่วัดทันที่
เมื่อมานพไปถึงนั้น นักบุญกำลังนั่งสมาธิอยู่เพียงผู้เดียวพอดี
"ท่านนักบุญ" มานพเอ่ยเรียกเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้นักบุญลืมตาขึ้นมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
"ว่าอย่างไรเล่าเจ้าหนุ่ม มีเรื่องอันใดอยากให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ" นักบุญถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"โปรดช่วยกระผมด้วยเถิดท่านนักบุญ ทุกวันนี้กระผมรู้สึกทรมานเป็นกำลัง ด้วยว่าตั้งแต่เกิดมานั้น ยังมิเคยได้รู้จักกับความสุขอย่างใครเขาเลย" มานพกล่าวอ้อนวอน
"เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า" นักบุญถามอีก
"เพราะกระผมเป็นคนยากจน ไม่มีเงินทอง ไม่มีความพรั่งพร้อมในชีวิต ดังนั้นกระผมจึงไม่มีความสุข" มานพตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
"เจ้าหนุ่มเอ๋ย" นักบุญกล่าว "ความสุขนั้นหาได้ไม่ยากดอก จงจำไว้เถิดว่า แม้เจ้าจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น แต่หากเจ้ามีความพอใจในความเป็นอยู่ของตนเองและพอใจในทุกสิ่งที่ตนเองมีแล้ว
จ้าก็จะพบกับความสุขสงบได้ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด"
แต่มานพไม่เชื่อ เขารู้สึกต่อต้านคำสอนของนักบุญอย่างรุนแรง และพูดออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวว่า
"นี่คือคำสอนที่หาความจริงมิได้ ความพอใจในสิ่งที่มีไม่อาจทำให้เรามีความสุขได้เท่ากับการมีทองคำเป็นจำนวนมาก"
นักบุญนิ่งมองมานพอย่างเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวแก่มานพต่อว่า
“ถ้าเจ้าเชื่อมั่นเช่นนั้น ข้าก็จะมอบทองคำให้เจ้าตามต้องการ ด้วยการใช้นิ้วนางวิเศษของข้าเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นทองคำตามที่เจ้าต้องการ แต่มีข้อแม้ว่า สิ่งที่นำมาเปลี่ยนเป็นทองคำ
จะต้องเป็นสิ่งของในครอบครัวของเจ้าตอนนี้เท่านั้น และเจ้าต้องขนสิ่งเหล่านั้นมาด้วยตนเอง”
เมื่อได้ฟังดังนั้น มานพก็รีบวิ่งกลับบ้านและขนเอาสิ่งของเท่าที่จะขนได้มากองไว้ตรงหน้านักบุญ นักบุญใช้นิ่วนางวิเศษจรดลงไปบนสิ่งของเหล่านั้น ฉับพลันสิ่งของเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยน
เป็นทองคำไปหมดทุกชิ้น
เห็นดังนั้นแล้ว มานพถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เขารีบขนของที่กลายเป็นทองคำทั้งหมดกลับบ้าน แล้วไปขนเอาสิ่งของที่เหลือมาให้นักบุญเปลี่ยนเป็นทองคำอีกเรื่อยๆ
สามวันผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านของมานพกลายเป็นทองคำไปหมด แต่มานพก็ยังไม่พอใจ เขาคิดว่าเขายังมีทองคำไม่มากพอกับความต้องการ และอยากได้มากกว่านั้นอีก
ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นทองคำไปหมดแล้ว แต่ทันใดนั้นมานพก็คิดขึ้นมาได้ว่า ยังมีบ้านของเขาเหลืออยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นทองคำ
“เรายังมีบ้านของเรานี่ ใช่แล้วล่ะ เราจะให้นักบุญเปลี่ยนบ้านของเราให้กลายเป็นทองคำ แล้วเราจะได้ร่ำรวยมหาศาล
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มานพไม่สามารถขนบ้านของเขาไปหานักบุญได้ด้วยตนเอง เขาจึงไปหานักบุญแล้วพูดว่า
“กระผมอยากให้ท่านช่วยเปลี่ยนบ้านของกระผมให้กลายเป็นทองคำ แต่กระผมคนเดียวไม่อาจขนบ้านทั้งหลังมาหาท่านได้ ดังนั้นขอได้โปรดเถิดท่านนักบุญผู้วิเศษ ขอเชิญท่าน
ไปที่บ้านของกระผมเพื่อใช้นิ่วนางที่วิเศษของท่านแตะบ้านของกระผมให้เปลี่ยนเป็นทองคำด้วยเถิด”
แต่นักบุญส่ายหน้า แล้วพูดว่า
“แม้บ้านของเจ้าจะเปลี่ยนเป็นทองคำทั้งหลัง แต่เจ้าก็จะไม่มีวันได้พบกับความสุขหรอก เพราะเจ้าไม่เคยพอใจในสิ่งที่เจ้ามี เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีกเรื่อยๆ ทำให้เจ้ายิ่งทุกข์ทรมาน
เพราะความอยากได้ที่เพิ่มทวีนั้น”
“แต่ถ้ากระผมมีบ้านทองคำ กระผมเชื่อว่ากระผมต้องมีความสุขมากแน่ๆ “ มานพว่า
“ข้าจะไม่ไปที่บ้านของเจ้าหรอก” นักบุญยืนยัน
“ถ้าอย่างนั้น กระผมก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” มานพดึงมีดที่พกติดตัวมาออกจากฝัก “กระผมจะตัดนิ้ววิเศษของท่านเสียเดี๋ยวนี้”
นอกจากจะไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใดๆ แล้ว นักบุญยังยื่นนิ้วนางวิเศษของตนออกมาให้มานพอีกด้วย
“ถ้าเจ้าคิดว่านี่คือความสุขของเจ้า ก็ตัดเอาไปได้เลย”
ตอนนี้มานพไม่คิดถึงความผิดชอบชั่วดีอะไรทั้งสิ้น ในหัวของเขามีแต่ภาพฝันของชีวิตที่แสนฟุ้งเฟ้อในบ้านทองคำ ความโลภเข้าครอบงำสติของเขาไปแล้วจนหมดสิ้น...
แล้วมานพก็จับนิ้วนางวิเศษของนักบุญ พร้อมกับเงื้อมีดขึ้นเพื่อจะตัดนิ้วนางนั้น...
แต่...
มานพหาได้สมปรารถนาไม่ เขายังไม่รู้จักกับความสุขเหมือนเคย และไม่มีโอกาสได้หาความสบายจากความร่ำรวยนั้น ด้วยว่าทันทีที่มานพแตะนิ้วของนักบุญ ร่างของเขาก็กลายเป็น
ทองคำที่ไร้จิตวิญญาณไปในทันที
จากวันนั้น ก็ไม่เคยมีใครพบเห็นนักบุญท่านนั้นอีกเลย ส่วนทองคำของมานพก็ถูกทางการส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บเข้ากองคลังหลวง เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
***...เธอทั้งหลาย...***
หลายๆ ครั้ง เธอก็รู้สึกใช่ไหมว่า ตนเองนั้นไม่เคยมีอะไรมากพอ หรือสิ่งที่มีก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด เธอจึงพยายามดิ้นรนขวนขวายอยู่นั่นแล้ว แต่เคยสังเกตหรือไม่ ยิ่งเธอมี เธอก็
ยิ่งไม่เคยพอ เธอว่า หากเธอมีสิ่งที่เธอต้องการนั้นแล้ว เธอจะมีความสุข แต่เมื่อเธอได้สิ่งนั้นมา เธอกลับพบว่า เธอต้องเหนื่อยมากขึ้นเพื่อรักษาสิ่งนั้นให้อยู่กับเธอนานที่สุด และตัวเธอก็
ไม่อาจหยุดไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีกว่านั้นต่อไปได้
ความพยายามทำให้ตนเองไปสู่จุดที่ดีกว่านั้นเป็นเรื่องน่าสนับสนุนทีเดียว แต่บางครั้งเธอต้องรู้จักพอ เมื่อถึงจุดที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเธอแล้ว และต้องรู้จักค้นหาวิธีบริสุทธิ์
เพื่อนำตนเองไปสู่ความสุขที่แท้จริง
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มักก่อให้เกิดกิเลส และในท้ายที่สุดแล้ว กิเลสจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวของเธอไม่เหลือความสุข หรืออะไร ๆ ในชีวิตอีกเลย... 
ที่มา : ด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสระบุรี ถ.แผ่ความดี ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี โทร.0-3626-6617 โทรสาร.0-3626-7607